วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การร้อยไหมละลาย PDO


ร้อยไหมละลาย PDO

           เมื่อ 2 ปี ที่แล้วประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2554 หมอได้เดินทางไปกรุงโซลประเทศเกาหลี เพื่อดูงานเครื่องมือแพทย์ KIMES exhibition fair ทุกๆปีจะจัดที่ Coex exhibition center ( คนเกาหลีเขาออกเสียงว่า โค เอ็ก สึ ) ระหว่างที่เดิน ชมเครื่องมือแพทย์ก็เหลือบไปเห็นบูธเล็กๆเอาทีวีมาเปิดให้ดู มีเข็มเสียบหน้าอยู่เต็มไปหมด ยืนดูอยู่สักพักจึงเข้าใจว่าเขาทำเพื่ออะไร เกิดความสนใจเลยไปลงชื่อขอเป็นตัวแทนจำหน่ายในไทย ตอนนั้นมีคุณหมอคนไทย 2 ท่านได้ลงชื่อเอาไว้แล้วเช่นกัน ( ต่อมา 1 ใน 2 ท่านก็ได้เป็นตัวแทนไป ) หลังจากกลับมาจากเกาหลีได้เดือนเดียวก็มีการนำการร้อยไหมละลายเข้ามาสาธิตใน ไทยซึ่งเป็นงานระดับนานาชาติ สร้างความแตกตื่นในวงการคลินิกความงามอย่างมาก บริษัทต่างๆพยายามแข่งกันทำการตลาดนำไหม PDO ( Polydioxanone) เข้ามาขายในไทยกัน ช่วงนั้นหมอจำได้ว่าใครอยากเรียนจะต้องไปเรียนที่เกาหลีและมียอดสั่งกันหลายแสน หมอ เองก็โดนไปกับเขาด้วยเช่นกัน ^^  จากนั้นภายใน 3 เดือนการร้อยไหมละลายเป็นที่นิยมมากในประเทศเราอย่างไม่น่า เชื่อ อัตราค่าบริการเส้นละ3,000บาทกันเลยทีเดียว (ตอนนั้นคลินิกหมอตั้งราคา 1,200 บาทต่อเส้น ) จากเดิมที่มีไหม PDO เพียงยี่ห้อเดียวต่อมามีเพิ่มอีกมากกว่า 5 ยี่ห้อภายใน 3 เดือน ซึ่งพอจะบอกได้ว่าขายดีกันมากแค่ไหนนะครับ ภายใน 6 เดือนการร้อยไหมเป็นบริการหลักในคลินิกความงาม เครื่องมือแพงๆที่ซื้อมาฝุ่นเกาะกันเลยทีเดียวเพราะใครๆเข้ามาในคลินิกก็ อยากร้อยไหม นอกจากนี้มีการพัฒนาเทคนิคการร้อยไหมกันแบบก้าวกระโดด เช่น ร้อยไหมลดรอยย่นหน้าผาก ยกคิ้ว ลดรอยขมวดคิ้ว ร้อยไหมลดรอยตีนกา ร้อยไหมทำตาสองชั้น ร้อยไหมใต้ตา ร้อยไหมแก้มลูกส้ม ร้อยไหมเสริมจมูก ร้อยไหมร่องแก้ม ร้อยไหมยกมุมปาก ร้อยไหมปากเซ็กซี่ ร้อยไหมยกแก้มที่ห้อย ร้อยไหมลดกรามให้หน้าเรียว ร้อยไหมกระชับสัดส่วน และมีแม้กระทั่งร้อยไหมกระชับช่องคลอดครับ...( หมอเองก็ฝึกทุกอย่างยกเว้นอัน สุดท้ายที่ขอผ่านไม่ทำครับ ) 


ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรมครับ เมื่อหมอร้อยไหมกันมากขึ้น (คลินิกไหนๆ ก็ทำ) ปัญหาและผลข้างเคียงต่างๆจึงเกิดตามมาครับ เช่นเดียวกันกับการผ่าตัดเสริมจมูกด้วยซิลิโคนแท่งเมื่อคนทำกันเยอะๆ เราจะสังเกตุเห็นว่า คนนี้จมูกเอียงเบี้ยว คนนี้ทำแกนใหญ่ไป อีกคนก็ปลายสั้นไปนิดไม่มีหยดน้ำ บางคนโชคร้ายทำแล้วติดเชื้อเน่า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผ่าตัดเสริมจมูกไม่ควรทำครับ เพราะเป็นผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้และแพทย์แต่ละท่านก็พยายามป้องกัน ผลข้างเคียงเหล่านั้นอย่างสุดความสามารถแล้ว กลับมาที่ผลข้างเคียงการร้อยไหมละลาย PDO กันครับ เมื่อมีการทำมากขึ้นความผิดพลาดจากเทคนิคการทำก็เห็นได้ชัดครับ เช่น มีบวมและรอยเขียวช้ำอย่างน่าตกใจ ร้อยตื้นไปมองเห็นเส้นไหมที่หน้า (ตกใจอีก) มีการอักเสบเป็นหนองจากการติดเชื้อ (อันนี้เรื่องใหญ่ หมอที่ทำก็ตกใจตาม) บางคนอาจจะมีปลายไหมโผล่ออกมาสามารถคลำได้ (ซึ่งต้องมาให้หมอสะกิดแล้วตัดออก ครับ) และในคนที่ร้อยไหมเสริมจมูกอาจมีไหมโผล่ออกมาจากปลายจมูก และที่สำคัญอีกอย่างคือค่าใช้จ่ายที่สูงมากครับ (ตกใจตอนจ่ายตังค์) ประกอบกับมีการแข่งขันทางการตลาดระหว่างคลินิกความงามด้วยกันเองจึงเกิด คำถามที่ว่า "การร้อยไหมเกิดคอลลาเจนหรือผังผืด???" ซึ่งมีคนถามหมอเรื่องนี้ค่อนข้างเยอะครับ หมออยากให้เราถามตัวเองว่าคอลลาเจนคืออะไร? แล้วผังผืดคืออะไร? แล้วเราจะทราบว่าทั้งสองอย่างคือสิ่งเดียวกันครับ หากเราสามารถกำหนดได้ว่าให้เกิดผังผืดในแนวไหนเพื่อให้ผังผืดนั้นช่วยยก กระชับใบหน้าหรือแก้ปัญหาความหย่อนคล้อย แล้วเราจะยังเรียกว่าผังผืดหรือจะเรียกว่าคอลลาเจนครับ เช่นเดียวกับแผลเป็นที่มือเราซึ่งก็คือเนื้อเยื่อของเรา (คอลลาเจน) แต่เราเรียกว่าแผลเป็นเพราะไม่สวยและไม่มีประโยชน์ หลายท่านอาจจะเคยทำเทอร์มาจซึ่งเป็นการใช้ความร้อนจากคลื่นวิทยุมาทำลายคอ ลลาเจนเก่าให้ตายไป เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา เพื่อให้หน้ากระชับตึงขึ้นนั่นก็เป็นอีกตัวอย่างที่เอาผังผืดมาใช้ให้เกิด ประโยชน์ เราเลยเรียก "คอลลาเจน"


จากที่หมอได้ร้อยไหมละลายมาประมาณ 2 ปีเต็มๆ และจากได้มีโอกาสเข้าฟังงานประชุมวิชาการเรื่องร้อยไหมละลายหลายๆครั้ง พอจะสรุปเกี่ยวกับการร้อยไหมแบบกระชับดังนี้นะครับ

1. ร้อยไหมไม่ได้อันตรายเลยหากทำด้วยเทคนิคที่ดีพอ

2. ผลของการร้อยไหมขึ้นอยู่กับ

-เทคนิคในการดีไซน์ให้เกิดแนวของผังผืดหรือคอลลาเจนที่จะให้ช่วยยกกระชับ แก้ปัญหาความหย่อนคล้อยเป็นสำคัญ(ร้อยแบบใส่ไปเรื่อยไม่ดีแน่ๆครับ)

-จำนวนไหมที่ใช้ หากใช้ไหมมากเห็นผลชัดครับ

3.ร้อย ไหมละลายไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่องเช่น รอยย่นหน้าผาก รอยตีนกา รอยขมวดคิ้ว ยกคิ้ว และลดกรามซึ่งทั้งหมดควรแก้ไขด้วยการฉีดโบทอกซ์จะดีที่สุดครับ

4. หลังทำควรรับประทานยาปฏิชีวนะและยาลดบวมพร้อมทั้งมาพบแพทย์ตามนัด (ส่วนใหญ่สวยแล้วจะไม่กลับมาครับ)

5.ไหมละลาย PDO สามารถละลายได้ใน 6 เดือนถึง 1 ปีจริง เพราะมีการทดสอบและวิจัยทางการแพทย์ก่อนแล้วจึงได้จัดอยู่ในกลุ่มที่ละลายได้

ปัจจุบัน ตัวหมอเองร้อยไหมเฉพาะเทคนิค V shape เท่านั้นครับ ซึ่งถือว่าเห็นผลชัดเจนที่สุดและไม่มีผลข้างเคียงอะไรที่จะต้องกังวลครับ สามารถทำได้ตั้งแต่ข้างละ 5 เส้นขึ้นไป โดยขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ร้อยเองและสภาพความหย่อนคล้อยของแก้มครับ หลังทำ 2-4 สัปดาห์จะรู้สึกได้ว่าใบหน้ากระชับขึ้น และอาจจะทำร่วมกับการฉีดโบท็อกซ์ก็ได้ครับ

ตัวอย่างการร้อยไหม
http://www.youtube.com/watch?v=yNZacywXMvM สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ช่องทางติดต่อ..รักษ์คุณ คลินิก
– สาขาโลตัส ทาวน์อินทาวน์ โทร. 02-9346185,0863551067
Google Plus : gplus.to/rukkhunpage
ID Line : @rukkhunclinic


*มีปัญหากังวลใจปรึกษาได้ทุกช่องทางตามสะดวก ด้วยความยินดีครับ^^

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

โบท็อกซ์ลดกราม

รีวิวฉีดโบท็อกซ์ลดกราม
   

โบท็อกซ์ลดกราม

  ก่อนที่จะเขียนบทความนี้หมอคิดแล้วคิดอีก สิ่งแรกที่กังวลคือจะมีคนอ่านไหมหนอตั้งชื่อBlog เหมือนเป็นGuruคนจะหมั่นไส้เราไหมเนี่ย! แต่อีกใจหนึ่งก็ช่างเถอะเขียนสิ่งที่เรารู้เท่านั้นพอ(กูรู= ที่เรารู้)


 
          เข้าเรื่องกันเลยนะครับ จากประสบการณ์สิบกว่าปีที่ทำความงามมาหมอเคยฉีดโบท็อกซ์ลดกรามมาก็ค่อนข้าง เยอะ สมัยก่อนคนไม่นิยมทำกันมากขนาดนี้ หลังจากเทรนด์ความงามจากเกาหลีเข้ามาในไทย ดาราเกาหลีส่วนใหญ่หน้าเรียวเล็กเท่าฝามือกัน(ทำนิ้วกางๆด้วยนะครับ)ทำให้ หลายคนอยากหน้าเรียวเล็กเหมือนดาราเกาห
ลีบ้าง สมัยก่อนหมอจะแนะนำให้ฉีดโบท็อกซ์ลดกรามปีละครั้งต่อเนื่องกัน 2-3 ครั้งเพื่อ ให้หน้าเรียวเล็ก แต่ปัจจุบันหมอความงามจะแนะนำให้ฉีดโบท็อกซ์ลดกราม ครั้งต่อเนื่องกัน ใน1ปี(ครั้งแรก,เดือนที่ 3,เดือนที่ 8)เพื่อ ให้หน้าเรียวเล็กมากๆ บางคนหน้าเล็กมากจนจะมองไม่เห็นหน้าอยู่แล้วก็ยังอยากฉีดให้เล็กลงอีก(ไม่ กลัวคนมองข้ามหน้าข้ามตากันเลยรึไง...อืมม)บ่อยครั้งที่หมอพยายามถามว่าฉีด มากี่ครั้งแล้ว?ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่คำตอบที่ได้รับมาคือฉีดมาเรื่อยๆทุก2-3เดือนทั้งหมอคลินิกและหมอกระเป๋า บางคนก็นิยมหมอกระเป๋าล้วนๆ(นั่น!ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่า... หมอกระเป๋าเป็นใคร ทำไมดังจังเลยแฮะ?) และบางครั้ง หลังจากฉีดเสร็จแล้วหมอยังไม่รู้ว่าควรจะนัดมาทำครั้งต่อไปเมื่อ ไหร่ดี เพราะฉีดมาบ่อยมากจนไม่รู้ว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว สุดท้ายได้แต่ตอบไปว่า"คลำได้ก้อนแข็งๆเมื่อไหร่ก็ครับทำได้อีก"

              การฉีดโบท็อกซ์ลดกรามแพทย์จะฉีดโบท็อกซ์เข้าไปยังกล้ามเนื้อที่ชื่อว่า masseter 

ตามรูปนะครับ                    

      

โดยสารโบทูลินั่มจะยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อกรามทำให้ไม่สามารถหดตัวได้ เหมือนปกติ (เหมือนเป็นอัมพาตชั่วคราว) เมื่อหดตัวไม่ได้นานๆประมาณ 2-4 สัปดาห์ กล้ามเนื้อมัดนี้ก็จะลีบเล็กลงไป สังเกตนิดนึงจะเห็นว่ากล้ามเนื้อมัดนี้จะยึดจากกระดูกขากรรไกรล่างและบนเข้า ด้วยกัน เวลาเราเคี้ยวอาหารกล้ามเนื้อมัดนี้ก็จะหดตัวดึงเข้าหากันเพื่อเคี้ยวบด อาหาร เพราะฉะนั้นถ้าเราชอบเคี้ยวของแข็งๆหรือเคี้ยวหมากฝรั่งบ่อยๆกล้ามเนื้อมัด นี้ก็จะโตขึ้นเรื่อยๆจนหน้าเราเป็นเหลี่ยม ถ้าเราเคี้ยวข้างเดียวบ่อยๆเหลี่ยมซ้ายขวาของเราก็จะไม่เท่ากัน สรุปคือหน้าเบี้ยวนั่นเอง!หมอกล้าฟันธงได้เลยว่าทุกๆคนหน้าเบี้ยวเพราะเรา ถนัดเคี้ยวข้างเดียว(แม่นแบบหมออ้วนฟันธง!) ลองหยิบกระจกเงาขึ้นมาส่องดูสิครับแล้วเราจะเห็นว่าหน้าซ้ายขวาของเราไม่ เท่ากัน...วิธีแก้ไขคือ...ข้างไหนเล็กเคี้ยวข้างนั้นแบบไม่มีข้อแม้นะครับ ในคนที่กรามสองข้างไม่เท่ากันหมอจะฉีดโบท็อกซ์ในกรามข้างที่ใหญ่มากกว่า และต้องไม่ลืมว่าเคี้ยวข้างที่เล็กกว่าเสมอๆด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นหน้าเบี้ยวหนักกว่าเดิมอีกขอบอก (หมอซวยเลยเพราะโดนด่าตามเคย) บางคนอาจจะเคยไปฉีดโบท็อกซ์ลดกรามมาแล้วแก้มตอบมากจนดูโทรม อันนี้ต้องบอกว่ามันเป็นศิลปะของคุณหมอแต่ละท่านที่ จะมองวิเคราะห์พิจารณาสภาพรูปหน้าและผลที่จะเกิดขึ้นหลังฉีดลดกราม เพราะแต่ละคนรูปโครงหน้าไม่เหมือนกันเลยครับ ดังนั้นจะฉีดเหมือนกันในทุกคนและปริมาณเท่าๆกันคงไม่ดีแน่ๆครับ หมอแนะนำว่าลองเข้าไปสอบถามก่อน เมื่อได้พูดคุยกันสักพักก็จะพอเห็นแววศิลปินของแต่ละท่านในการวิเคราะห์รูป หน้าของเรา


ตัวอย่างการฉีด โบท็อกซ์ลดกราม




  
          หากจะไม่พูดถึงข้อเสียหรือผลข้างเคียงของการฉีดโบท็อกซ์ลดกรามเลยก็จะเหมือน เห็นเหรียญข้างเดียว ซึ่งแน่นอนว่าการจะได้รูปหน้าเรียวเล็กแบบเกาหลีต้องแลกมาด้วยหลายอย่างดัง นี้ครับ

 
         1.ไม่ค่อยมีแรงในการบดเคี้ยวอาหารแข็งๆเหมือนเดิม 

 
         2.ปัญหาข้อต่อระหว่างขากรรไกรหลวม(จุดที่ยึดระหว่างบนและล่างตามรูปครับ) เวลาอ้าปากกว้างๆแล้วหุบเข้าจะรู้สึกกึกๆที่ข้อต่อขากรรไกร บางคนอาจรู้สึกปวดเป็นบางครั้งเพราะกล้ามเนื้อกรามทำหน้าที่ยึดข้อต่อไม่ แข็งแรงดังเดิม

 
         3.หน้าซ้ายขวาไม่เท่ากันอันนี้หมออธิบายไปแล้วนะครับ

 
         4.ยิ้มแล้วปากเบี้ยว ส่วนใหญ่มักพบในคนที่ไปฉีดกับหมอกระเป๋ามา ซึ่งเกิดจากฉีดผิดตำแหน่งครับ การแก้ไขต้องกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมุมปากข้างที่ตกให้ฟื้นตัวกลับมา ซึ่งจะต้องรอเวลาประมาณ 2-3เดือนจะดีขึ้นครับ

 
         5.แก้มหย่อนคล้อยพบได้บ่อยในคนที่มีไขมันแก้มเยอะครับ เพราะตำแหน่งที่เราฉีดคือเข้ากล้ามเนื้อกราม หลังฉีดไปสัก 2-4 สัปดาห์กรามจะเล็กลง แต่ไขมันที่แก้มและข้างๆมุมปากจะไม่เล็กลงตาม ซึ่งจะทำให้ดูเหมือนแก้มเราคล้อยๆลงมา วิธีแก้ไขคือต้องลดน้ำหนักครับ หากลดไม่ได้ก็ต้องลดไขมันที่แก้มโดยตรง ซึ่งทำได้หลายวิธีตั้งแต่ใช้เครื่องนวดสลาย ฉีดสลายไขมันจนถึงดูดไขมันครับ ส่วนค่าใช้จ่ายในการฉีดโบท็อกซ์ลดกรามแนะนำเข้าไปดูตามลิงค์นะครับ www.rukkhunclinic.com


                              


ก่อนและหลังฉีดโบทอกซ์ลดกราม1เดือน
(ต้องขอบคุณน้องแฟ้บประจำออฟฟิศของหมอที่ยอมเป็นอาสาสมัครเพื่องานนี้)คลิปวีดีโอตัวอย่าง
http://www.youtube.com/watch?v=kQnRGwtNW6w

วีดีโอตัวอย่างการรักษาทั้งหมด
https://www.youtube.com/channel/UC2S5Ir9KgAqxN8PnTZHP49g/videos

ช่องทางติดต่อ..รักษ์คุณ คลินิก
– สาขาโลตัส ทาวน์อินทาวน์ โทร. 02-9346185,0863551067
Google Plus : gplus.to/rukkhunpage
ID Line : @rukkhunclinic


*มีปัญหากังวลใจปรึกษาได้ทุกช่องทางตามสะดวก ด้วยความยินดีครับ^^

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

แนะนำเจ้าของบ้านก่อนนะครับ



...ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความรู้เรื่องความงาม และการดูแลตัวเอง หลากหลายเรื่องราว โบทอกซ์ ร้อยไหม ฟิลเลอร์ การปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอื่นๆอีกมากมาย หวังว่าคงเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์นะครับ

สวัสดีทุกท่านครับ ยินดีที่มีโอกาสแบ่งปันความรู้ที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ หมอคิดว่าการเป็นแพทย์ความงามไม่ใช่แค่การที่รอให้บริการแก่ลูกค้าภายในคลินิก แต่คิดว่าการให้ข้อมูลต่างๆ ให้ความรู้เรื่องตัวยา วิธีการ และเทคโนโลยีใหม่ๆเป็นสิ่งจำเป็นครับ เพราะปัจจุบันการเสริมความงามเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าทุกคนต่างสนใจที่จะดูแลตัวเองกันมากขึ้น การได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ หมอขอเป็นอีกทางเลือกในการรับข้อมูล และยินดีปรึกษาในทุกปัญหาและความกังวลใจเรื่องความงามนะครับ มีปัญหา มีอะไรกังวลใจ สอบถามกันได้ครับ

                 ด้วยความยินดี

นพ.ธนิตศักดิ์ วิบูลย์กุลเศรษฐ์ (หมออ้วน)


ถ้าท่านใดสะดวกเข้าพบหมอด้วยตัวเองก็แวะมาได้ทุกสาขาครับ หมอไม่คิดค่าใช้จ่ายในการปรึกษา โทรสอบถามได้ตามเบอร์ด้านล่าง หวังว่าคงพบกัน :)

ช่องทางติดต่อ..รักษ์คุณ คลินิก
– สาขาโลตัส ทาวน์อินทาวน์ โทร. 02-9346185,0863551067
Google Plus : gplus.to/rukkhunpage
ID Line : @rukkhunclinic


*มีปัญหากังวลใจปรึกษาได้ทุกช่องทางตามสะดวก ด้วยความยินดีครับ^^



รักษ์-คุณ คลินิก
สาขาโลตัส ทาวน์อินทาวน์ โทร.02-9346185,0863551067




วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โบท็อกซ์ลิฟท์หน้า


การฉีดยกกระชับหน้าด้วยโบทูลินั่มทอกซิน โดยปกติที่หมอนิยมทำจะมีอยู่ 3 วิธีครับ

1. ลิฟท์หน้าแบบเนเฟอติติลิฟท์ (Nefertiti Lift) การฉีดแบบนี้จะฉีดโบทูลินั่มทอกซินตามแนวการหดตัวของกล้ามเนื้อที่ชื่อ platysma (ตามรูป) ซึ่งกล้ามเนื้อมัดนี้ห่อหุ้มด้านบนลำคอจากบริเวณแนวคางไปหาใต้หูและทอดตัวเฉียงลงไปด้านล่างบริเวณข้างๆ ลำคอตามตำแหน่งที่ทำเครื่องหมายไว้ครับ ตำแหน่งการฉีดในแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันหมดทุกคน โดยก่อนฉีดหมอจะให้ทำท่าเกร็งกล้ามเนื้อมัดนี้เพื่อให้หมอสามารถระบุตำแหน่งที่จะฉีดก่อนทุกครั้งครับ จากรูปจะพบว่าเมื่อกล้ามเนื้อ platysma หดตัวจะเกิดแรงดึงแก้มลงด้านล่างให้หย่อนคล้อยและจะเกิดรอยย่นที่ใต้ลำคอ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสาเหตุร่วมที่ทำให้แก้มเราหย่อนคล้อยและมีรอยย่นบริเวณลำคอเมื่อเราอายุมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้น เมื่อเราฉีดสารโบทูลินั่มทอกซินเข้าไปคลายกล้ามเนื้อมัดนี้ให้อ่อนแรงลง จะทำให้แก้มของเรายกกระชับขึ้น รอยย่นที่ลำคอน้อยลง มีขอบหน้าบริเวณแนวคางชัดเจนมากขึ้น และยังทำให้ลำคอแลดูยาวขึ้นอีกด้วยครับ 



2. ลิฟท์หน้าแบบเกาหลี"เดอร์โมท็อกซิน"(Dermotoxin) แพทย์นิยมเรียก "เดอร์โมลิฟท์" แบบนี้จะฉีดตามขอบหน้าตั้งแต่ขมับลงมารื่อยๆ จนถึงแนวคางและฉีดแบบนี้หลายแถวครับ ซึ่งแนวที่ฉีดจะมากกว่าแบบเนเฟอติติครับ และจะเน้นฉีดเข้าชั้นผิวหนังตื้นๆให้เป็นตุ่มๆคล้ายรอยมดกัด ซึ่งบอกได้ 3 คำเลยว่า" เจ็บค่อดๆ"ซึ่งหมอเกาหลีแนะนำทำปีละครั้งต่อเนื่องกัน 2-3 ครั้งเพื่อให้ดูอ่อนวัยครับ แต่ถึงแม้จะเจ็บมากแค่ไหนก็ตามการฉีดเดอร์โมลิฟท์ก็ถือเป็นบริการยอดนิยมที่คนส่วนใหญ่มาทำกันอย่างต่อเนื่องครับ 

ซึ่งผลที่ต้องการของการทำเดอร์โมลิฟท์ได้แก่ 
1. เพื่อให้เกิดการหดตัวของผิวหนังบริเวณขอบหน้าให้รูปหน้ากระชับขึ้น 
2. เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวหนัวบริเวณตามขอบหน้า หลังทำเสร็จผิวหนังจะหดตัวตามแนวขอบหน้าทำให้สังเกตุเห็นได้ว่าด้านที่ทำยกขึ้นทันทีครับ เวลาทำหมอจะให้ดูกระจกเปรียบเทียบซ้าย-ขวาหลังจากทำไป 1 ข้างทันที ( ทำ 2 ข้าง แล้วจะดูไม่ออก หมออาจถูกด่าได้ 555) ส่วนผลของการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนผิวจะต้องรอ1ถึง3เดือนก่อนครับ วิธีนี้จะเหมาะในคนที่แก้มหย่อนคล้อยไม่มากและเน้นช่วยชะลอไม่ให้หย่อนคล้อยเมื่อเราอายุมากขึ้น สำหรับคนที่มีอายุมากแล้วคงจะต้องทำหลายครั้งและบ่อยหน่อยนะครับ ( ดูแนวฉีดตามรูปครับ )


 

3. ฉีดไมโครโบท็อกซ์ (Microbotox) บางคนอาจจะเรียกว่า" เมโสโบท็อกซ์ "เทคนิกนี้จะผสมโบทูลินั่มท็อกซินเจือจางมากเป็นพิเศษ แล้วนำมาฉีดเข้าชั้นผิวหนังตื้นๆทั่วใบหน้าโดยเฉพาะแนวทีโซน (T-Zone) ผลที่ต้องการคือ ช่วยลดความมันบนใบหน้า กระชับผิวหน้าและให้ริ้วรอยเล็กๆ จางลง และช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง จากประสบการณ์ที่หมอเคยทำมาพบว่าความพึงพอใจที่มีมากที่สุดได้แก่ เรื่องการช่วยลดความมันบนใบหน้า รองลงมาคือช่วยกระชับผิวหน้าให้รู้สึกตึงๆ บนผิวหน้า ส่วนเรื่องกระชับรูขุมขนนั้นหมอพบว่าจะช่วยได้น้อยกว่าความคาดหวังครับ

  โดยส่วนตัวหมอนิยมใช้สองวิธีบนมากกว่าครับ และอาจจะใช้ไมโครโบท็อกซ์บ้างในคนที่ผิวมันมากๆละใช้ในบางตำแหน่งที่ไม่สามารถฉีดโบทูลินั่มท็อกซินแบบปกติได้ หรือในจุดที่เสี่ยงและไวต่อยาจึงจำเป็นจะต้องเจือจางยาเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงครับ หมอหวังว่าข้อมูลที่เขียนไว้จะพอมีประโยชน์ให้มีความเข้าใจก่อนเข้ารับบริการกันบ้างครับ ครั้งหน้าหมอจะนำเกร็ดความงามมาฝากอีก หากถูกใจ..หมอก้อชื่นจายยยยยแล้วครับ ^^


สำหรับแนวการฉีดแต่ละวิธีดูได้ตามภาพด้านบนเลยครับ 





      ด้วยความปราถนาดี


นพ.ธนิตศักดิ์  วิบูลย์กุลเศรษฐ์
              หมออ้วน
        รักษ์-คุณคลินิก 


ช่องทางติดต่อ..รักษ์คุณ คลินิก
– สาขาโลตัส ทาวน์อินทาวน์ โทร. 02-9346185,0863551067
Google Plus : gplus.to/rukkhunpage
ID Line : @rukkhunclinic


*มีปัญหากังวลใจปรึกษาได้ทุกช่องทางตามสะดวก ด้วยความยินดีครับ^^

โปรไฟลุก ยกกระชับแก้มด้วยเทอร์มาจเกาหลี

  โปรไฟลุกยกกระชับแก้มด้วยเทอร์มาจเกาหลี 300 ชอต 3,000 บาท จองโปรโมชั่นหรือ ปรึกษาเพิ่มเติม *อินบ๊อกให้หมอมาได้เลย หรือ ID Line:@rukkhuncl...